วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

มาตรการบังคับใช้สิทธิด้านสิทธิบัตร

บทความโดย
www.tgcthailand.com
0-2549-8304 , 08-1344-2237


กฎหมายสิทธิบัตรของไทยเปิดโอกาสให้มีการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิอย่างกว้างขวาง ทั้งที่เป็นมาตรการบังคับใช้สิทธิเมื่อมีการขอใช้สิทธิบัตรโดยเอกชนและการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิโดยรัฐ (Government Use) โดยการใช้สิทธิโดยเอกชนจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ทรงสิทธิบัตรไม่ผลิตหรือขายผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรนั้น หรือเมื่อมีการขายผลิตภัณฑ์นั้นในราคาที่สูงเกินสมควรหรือไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ส่วนการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิโดยรัฐอาจเกิดขึ้นได้ในหลายกรณีเช่น เพื่อป้องกันหรือบรรเทาการขาดแคลนอาหาร ยาหรือสิ่งอุปโภคบริโภคอย่างรุนแรง หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่น เป็นต้น

                ในการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิดังกล่าวข้างต้น เอกชนหรือรัฐต่างต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้ทรงสิทธิด้วย แต่การใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิเหล่านี้มีอุปสรรคที่สำคัญ 2 ประการคือ อุปสรรคทางการเมืองและทางกฎหมาย สำหรับอุปสรรคทางการเมืองก็คือ ประเทศที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจมักจะกดดันไม่ให้ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิเพราะจะเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ของผู้ทรงสิทธิบัตรซึ่งมักจะเป็นผู้ประกอบการในประเทศมหาอำนาจเหล่านั้น โดยประเทศมหาอำนาจมักจะขู่ว่าจะใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าหากประเทศกำลังพัฒนาใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิได้ส่วนอุปสรรคทางกฎหมายนั้นเกิดขึ้นจากการที่ความตกลงทริปส์มาตรา 31 (f) ได้กำหนดไว้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นตามมาตรการบังคับใช้สิทธินั้นสามารถนำไปจำหน่ายได้ในประเทศที่ใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิเท่านั้น การกำหนดหลักการเช่นนี้ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ที่ไม่มีศักยภาพในด้านเทคโนโลยีเพียงพอในการผลิตยาไม่สามารถอนุญาตให้บริษัทผลิตยาสามัญในต่างประเทศผลิตผลิตภัณฑ์ยานั้น แล้วนำผลิตภัณฑ์ยานั้นเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย เนื่องจากการผลิตผลิตภัณฑ์ยานั้นอาจเป็นการละเมิดสิทธิบัตรของผู้ทรงสิทธิบัตรนั้นในต่างประเทศ นอกจากนั้น แม้รัฐหรือเอกชนในประเทศกำลังพัฒนาจะมีศักยภาพเพียงพอในการผลิตผลิตภัณฑ์ยา  แต่การกำหนดห้ามมิให้นำผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นตามมาตรการบังคับใช้สิทธินั้นออกจำหน่ายในต่างประเทศก็จะทำให้ต้นทุนในการผลิตผลิตภัณฑ์นั้นสูงขึ้นและไม่คุ้มค่าแก่การลงทุน ซึ่งนับว่าจะเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิในประเทศกำลังพัฒนา

                ในการประชุมคณะมนตรีองค์การการค้าโลกที่กรุงโดฮาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2001 ประเด็นเกี่ยวกับอุปสรรคของประเทศกำลังพัฒนาในการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิดังกล่าวข้างต้นได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจัง และในที่สุดปฏิญญาโดฮาว่าด้วยความตกลงทริปส์และสุขภาพ (Doha Declaration on the TRIPS Agreement and Public Health) ก็ได้ตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้และได้กำหนดให้คณะมนตรีของทริปส์ (TRIPS Council) ไปดำเนินการหาวิธีการในการแก้ไขอุปสรรคทางกฎหมายเช่นนี้ต่อไปในทางตรงกันข้าม ความตกลงการค้าเสรีที่สหรัฐได้ทำขึ้นกลับต้องการจำกัดการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิของประเทศคู่ค้า โดยกำหนดให้การใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิจะกระทำได้ต่อเมื่อมีการกระทำอันเป็นการจำกัดการแข่งขัน (Anti-competitive Practice) ตามกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าเท่านั้น และการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิจะกระทำได้หลังจากที่ได้ผ่านกระบวนการยุติธรรมหรือกระบวนการทางบริหารของกฎหมายแข่งขันทางการค้านั้นแล้วเท่านั้น ซึ่งการกำหนดเงื่อนไขเช่นนี้จะเป็นอุปสรรคต่อประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยที่มีระบบการป้องกันการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมอันอ่อนแอและขาดประสิทธิภาพ ทั้งการกำหนดให้การใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิได้หลังจากมีการใช้กระบวนการยุติธรรมหรือการบริหารก่อนนั้นก็จะทำให้ไม่สามารถใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิได้อย่างทันท่วงที อันนับได้ว่าเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิเป็นอย่างยิ่งสำหรับการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิโดยรัฐนั้น ความตกลงการค้าเสรีกำหนดให้ใช้ได้แต่เพื่อการใช้เพื่อประโยชน์สาธารณชนที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์หรือในภาวะฉุกเฉินของชาติเท่านั้น ซึ่งถือเป็นข้อจำกัดที่เข้มงวดกว่าที่กำหนดไว้ในความตกลงทริปส์และในกฎหมายสิทธิบัตรของไทยมาก นอกจากนั้นความตกลงการค้าเสรียังกำหนดห้ามไม่ให้ประเทศคู่ค้ากำหนดให้ผู้ทรงสิทธิบัตรเปิดเผยความลับทางการค้าหรือข้อมูลทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์นั้น ซึ่งหลักการเช่นนี้จะทำให้การใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ เพราะแม้หากประเทศนั้นใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ การผลิตผลิตภัณฑ์นั้นก็จะไม่มีคุณภาพทัดเทียมกับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยผู้ทรงสิทธิบัตร ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนโดยรวมของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิกับผลิตภัณฑ์ยาที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน นอกจากนี้ ความตกลงการค้าเสรียังกำหนดให้รัฐต้องจ่ายค่าตอบแทนความเสียหายให้แก่ผู้ทรงสิทธิบัตรทั้งหมด (entire compensation) อีกด้วย ซึ่งหมายความว่ารัฐต้องจ่ายค่าตอบแทนผลประโยชน์ให้กับผู้ทรงสิทธิเป็นจำนวนเท่ากับกำไรที่ผู้ทรงสิทธิจะได้รับจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตามจำนวนที่รัฐผลิตขึ้นโดยผู้ทรงสิทธิไม่จำเป็นต้องนำผลิตภัณฑ์นั้นออกจำหน่ายเลย หลักการเช่นนี้ไม่เพียงแต่ละเลยประโยชน์สุขของสาธารณชนเท่านั้น แต่ยังขัดกับความตกลงทริปส์อีกด้วย เพราะความตกลงทริปส์เพียงแต่กำหนดให้รัฐจ่ายค่าตอบแทนแก่ผู้ทรงสิทธิอย่างเพียงพอโดยคำนึงถึงคุณค่าทางเศรษฐกิจของการอนุญาตนั้น (adequate remuneration in the circumstance of each case, taking into account the economic value of the authorization)             

การจดทะเบียนสิทธิบัตร

บทความโดย
www.tgcthailand.com
0-2549-8304 , 08-1344-2237
สิทธิบัตรถือเป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจที่มีความสำคัญและสร้างโอกาสให้ธุรกิจใหม่ ๆ ได้ หลายท่านเริ่มทำธุรกิจพอทำได้สักระยะคนอื่นก็เริ่มทำตาม เมื่อธุรกิจใหญ่ ๆ ที่มีทุนมากกว่าเห็นช่องทางและโอกาสก็เข้ามาร่วมแข่งขันด้วย ซึ่งเมื่อเข้ามาแล้วธุรกิจที่แม้เริ่มก่อนแต่มีเงินลงทุนน้อยและไม่มีเครือข่ายที่แข็งแรงก็จะไม่สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้  การคุ้มครองสิทธิบัตรในต่างประเทศนั้นในปัจจุบันมีรูปแบบดังนี้

การยื่นจดทะเบียนในแต่ละประเทศ

                 การจดทะเบียนในประเทศหนึ่งจะไม่มีผลคุ้มครองไปถึงประเทศอื่นที่ไม่ได้ยื่นจดทะเบียนด้วยเนื่องจาก การจดทะเบียนสิทธิบัตรจะอยู่ภายใต้กฎหมายสิทธิบัตรของประเทศนั้น ซึ่งกฎหมายสิทธิบัตรในประเทศหนึ่งจะไม่สามารถบังคับใช้ไปถึงประเทศอื่นด้วยตามหลักดินแดน ดังนั้นจะเป็นที่พบเห็นอยู่เสมอว่าสิทธิบัตรโดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับสิ่งประดิษฐ์ที่ได้ยื่นจดทะเบียนไว้ทั่วโลกกว่า 50 ล้านรายการ สามารถทำซ้ำ ผลิตเป็นสินค้าจำหน่ายได้ทันทีโดยไม่ละเมิดสิทธิและสามารถนำมาพัฒนาต่อยอดได้

การยื่นจดทะเบียนภายใต้สนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร หรือ PCT   (Patent Cooperation Treaty)

                PCT เป็นความตกลงระหว่างประเทศสำหรับการขอรับความคุ้มครองการประดิษฐ์ในประเทศที่เป็นสมาชิก โดยสามารถที่จะยื่นคำขอที่สำนักงานสิทธิบัตรภายในประเทศ ของตน และสำนักงานสิทธิบัตรก็จะส่งคำขอไปดำเนินการตามขั้นตอนของระบบ PCT ที่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ซึ่งการรับจดทะเบียนสิทธิบัตร PCT เป็นอำนาจอธิปไตยของแต่ละประเทศที่ผู้ขอประสงค์จะขอความคุ้มครอง ซึ่งจะมีการตรวจสอบตามขั้นตอนและเงื่อนไขของกฎหมายภายในประเทศนั้น ๆ ก่อนรับจดทะเบียนสิทธิบัตรต่อไป ซึ่งประเทศไทยสมัครเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 ถือเป็นสมาชิกลำดับที่ 142  โดยในโซนเอเชียประเทศที่เป็นสมาชิกและไม่เป็นสมาชิก มี ดังนี้

                No.
Asian PCT Member Countries
Asian  Non Members of PCT
Country
Effective Date
Country
1
Japan
October 1 , 1978
Bangladesh
2
Sri Lanka
February 26, 1982
Bhutan
3
Republic of Korea
August 10 , 1984
Cambodia
4
Vietnam
March 10 , 1993
Hongkong
5
China
January 1 , 1994
Myanmar
6
Singapore
February 23, 1995
Pakistan
7
Indonesia
September 5 ,1997
Taiwan
8
India
December 7 , 1998
 
9
Philippines
August 17 , 2001
 
10
Lao
June 14 , 2006
 
11
Malaysia
August 16 , 2006
 
12
Thailand
September 24 , 2009
 

สิทธิบัตรซอฟต์แวร์ (Software Patent) กับ ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ (Software Copy Right )

บทความโดย
www.tgcthailand.com
0-2549-8304 , 08-1344-2237

ลิขสิทธิ์ให้ความคุ้มครองโดยอัตโนมัติ เมื่อสร้างสรรค์ ซอฟต์แวร์ขึ้นมาและไม่ต้องดำเนินการเพื่อขอรับความคุ้มครองเพียงแต่ดำเนินการจดแจ้งเพื่อเป็นหลักฐานเท่านั้น โดยสิ่งที่จะได้รับความคุ้มครองคือ  ตัวโค้ด (Code) ของ ซอฟต์แวร์นั้นในลักษณะของผลงานวรรณกรรม กล่าวคือคุ้มครองเฉพาะตัวโค้ด (Code) ที่ได้แสดงออกมา (Expression) แต่ไม่ได้รับความคุ้มครองไปถึงแนวคิด หรือ ลักษณะการทำงาน ของ ซอฟต์แวร์นั้น เช่น หากผู้สร้างสรรค์รายอื่นทำซอฟต์แวร์ที่มีลักษณะการทำงานเหมือน  MS-WORD  ขึ้นมาโดยการเขียน ตัวโค้ด (Code) ขึ้นมาใหม่ จะไม่ถือเป็นการละเมิดเพราะไม่ได้ทำซ้ำหรือดัดแปลง ตัวโค้ด (Code)  ดังนั้นจึงมีความพยายามที่จะนำผลงานดังกล่าวมาจดทะเบียนเป็นสิทธิบัตร เนื่องจากจะได้รับความคุ้มครองในส่วนของแนวคิดและลักษณะการทำงาน ทำให้ผู้อื่นไม่สามารถนำ ซอฟต์แวร์ที่มีแนวคิดและลักษณะการทำงานอย่างเดียวกันนี้มาใช้ได้ แม้ว่าจะเขียน ตัวโค้ด (Code) ที่แตกต่างกันขึ้นมาก็ตาม อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาอุปสรรคสำหรับการนำเสนอการประดิษฐ์ต่อ สำนักงานสิทธิบัตรในประเทศไทย เนื่องจาก พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. สิทธิบัตร (ฉบับที่ ๓)พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ กำหนดว่า การประดิษฐ์ ระบบข้อมูลสำหรับการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ได้รับความคุ้มครอง

                สำนักงานสิทธิบัตรในประเทศไทย ( Thai Patent Office)  ได้ยอมรับคำขอที่เป็นการประดิษฐ์ที่เกี่ยวกับซอฟต์แวร์  (Software-Related Invention ) คือเป็นอุปกรณ์หรือเครื่องจักรที่มีซอฟต์แวร์เป็นตัวควบคุมแต่จะไม่ยอมรับการประดิษฐ์ที่เป็นซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ที่ถูกบันทึกลงบนตัวกลางและการประดิษฐ์มีเพียงแหล่งรหัสต้นกำเนิด (Source Code) ซอฟต์แวร์ ที่อยู่ในรูปแบบหรือขั้นตอนวิธี หรือ อัลกอริทึม (Algorithm) ที่ไปควบคุมการทำงานของอุปกรณ์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์อาจขอรับความคุ้มครองได้ หากขั้นตอนวิธี หรือ อัลกอริทึม (Algorithm) ทำให้เกิดผลทางเทคนิค (Technical Effect)

                สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ยอมรับและออกสิทธิบัตร เกี่ยวกับซอฟต์แวร์ โดยมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันไปคือ

                สำนักสิทธิบัตรยุโรป ( European Patent Office)  ยอมออกสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับซอฟต์แวร์ที่มีลักษณะทางเทคนิค (Technical Effect) โดย ซอฟต์แวร์ที่ถูกบันทึกลงในสื่อกลางจะไม่ได้รับความคุ้มครอง แต่ถ้า ซอฟต์แวร์นั้นก่อให้เกิดผลทาง เทคนิค (Technical Effect) กับ เครื่องคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างเช่นระบบประมวลผลข้อมูลทั่วไปที่มีหน่วยความจำเล็ก ทำงานเร็ว และหน่วยความจำอีกหน่วยหนึ่งขนาดใหญ่กว่าแต่ทำงานช้ากว่าแต่ ซอฟต์แวร์ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทำให้หน่วยความจำที่มีขนาดใหญ่นั้นทำงานได้เร็ว เท่ากับหน่วยความจำขนาดเล็ก ซอฟต์แวร์นั้นอาจได้รับความคุ้มครองเนื่องจากมี ผลเทคนิค (Technical Effect) ในส่วนของการแสดงข้อมูล (Presentation of Information ) บนสื่อหรือไอคอน ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ก็ไม่สามารถรับความคุ้มครองได้ เช่น เครื่องหมายที่แสดงถึงการเตือน สัญญาณเสียง ตัวอักษรที่แสดงบนหน้าจอ แต่กระบวนการแสดงข้อมูลอาจขอรับความคุ้มครองได้

                สำนักสิทธิบัตรสหรัฐอเมริกา ( US Patent Office)  ถือว่าการประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ / คอมพิวเตอร์ เป็นการประดิษฐ์ที่มีลักษณะทางเทคนิคและจะต้องให้ผลลัพธ์ที่มีประโยชน์ (Useful) และจับต้องได้ ( Concrete and Tangible)

                สำนักสิทธิบัตรญี่ปุ่น ( Japan Patent Office)  มีแนวทางการพิจารณาแบบเดียวกับสำนักสิทธิบัตรยุโรป ( European Patent Office)  คือการประดิษฐ์จะต้องเป็นการประดิษฐ์ที่สร้างสรรค์ก้าวหน้าของความคิดทางเทคนิค (Advance Creation of Technical Idea)

แต่ทั้งสามประเทศจะไม่ออกสิทธิบัตรให้กับงานที่ไม่มีลักษณะทางเทคนิค การเขียนคำขอสิทธิบัตรเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ในประเทศไทยเป็นเรื่องที่มีความยากระดับหนึ่งเนื่องจาก สำนักงานสิทธิบัตรในประเทศไทยจะปฏิเสธรับคำขอที่จดทะเบียนเกี่ยวข้องกับระบบซอฟต์แวร์ ซึ่งจะต้องเป็นการเขียนคำขอที่ใช้คำศัพท์ทางเทคนิคอย่างสูงในการอธิบายและพยายามหลบเลี่ยงเพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นเรื่องของซอฟต์แวร์เพื่อจะทำให้ สำนักงานสิทธิบัตรในประเทศไทยดำเนินการจดทะเบียนให้ หมายถึงว่าจะต้องเขียนคำขอรับสิทธิบัตรให้เป็นเรื่องของการประดิษฐ์ที่เกี่ยวกับซอฟต์แวร์ (Software-Related Invention ) เช่นสิทธิบัตรเลขที่ 14333 เครื่องนับครั้งการใช้โทรศัพท์ เป็นต้น

ความผิดฐานสนับสนุนให้มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

บทความโดย
www.tgcthailand.com
0-2549-8304 , 08-1344-2237

การจำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญานั้นมีหลายช่องทาง เช่น การจำหน่ายผ่านหน้าร้าน   การจำหน่ายตามตลาดนัด  การจำหน่ายหน้าบูทในห้างสรรพสินค้า  โดยเฉพาะการจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์ซึ่งเป็นการกระทำที่ง่าย รวดเร็ว ประหยัด และนิยมมากที่สุด ทำให้การกระทำละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาขยายไปในวงกว้างอย่างรวดเร็วและมี ผู้ขาย ผู้บริโภค และธุรกิจอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมหาศาล

ดังนั้นการที่จะเอาผิดกับผู้จำหน่ายโดยตรงทุกรายจึงเป็นเรื่องยาก หากสามารถเอาผิดกับผู้ให้บริการเว็บไซต์ที่จำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจึงเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า และสามารถระงับการกระทำความผิดได้ในวงกว้างอย่างได้ผลอีกด้วย แต่ปัญหาก็คือ ผู้ให้บริการเว็บไซต์ดังกล่าวไม่ได้เป็นผู้จำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาด้วยตัวเอง แต่สินค้านั้นวางจำหน่ายโดยผู้ใช้บริการของเว็บไซต์ในฐานะผู้ขาย ในกรณีเช่นนี้ จะเอาผิดกับผู้ให้บริการได้อย่างไร

                ในต่างประเทศต่างตื่นตัวในเรื่องนี้มาก ที่ผ่านมามีคดีมากมายหลายคดีที่ศาลในต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และประเทศต่างๆในยุโรปได้มีคำตัดสินและวางกลักว่าการกระทำใดบ้าง ที่ผู้ให้บริการเว็บไซต์จะต้องรับผิดชอบต่อกรณีที่มีผู้ใช้บริการเว็บไซต์วางจำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในเว็บไซต์ของตน

                ศาลสหรัฐอเมริกาได้วางหลักในการพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำการเป็นผู้สนับสนุนให้มีการกระทำละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าของโจทก์หรือไม่อย่างไร ดังต่อไปนี้

1.  การกระทำละเมิดโดยตรง (Direct Infringement)

                งานที่ถูกละเมิดต้องเป็นงานอันมีทรัพย์สินทางปัญญาที่ยังอยู่ภายในอายุการคุ้มครองและโจทก์เป็นเจ้าของงานอันมีทรัพย์สินทางปัญญานั้น และ

                ต้องมีการกระทำที่ละเมิดสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในทรัพย์สินทางปัญญา (Exclusive Right)

2. กระทำการเป็นผู้สนับสนุนให้มีการละเมิดลิขสิทธิ์ (Contributory Copyright Infringement)

                โจทก์จะต้องพิสูจน์ว่าจำเลยได้กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งในต่อไปนี้ 1) จูงใจชักนำให้ผู้อื่นกระทำละเมิดหรือ 2)  ยังคงจัดส่งสินค้าอย่างต่อเนื่องให้ผู้หนึ่งผู้ใดแม้ว่าตนจะรู้ว่าหรือมีเหตุควรรู้ว่าผู้นั้นเกี่ยวข้องกับการละเมิด โจทก์จะต้องพิสูจน์ตามเงื่อนไขต่อไปนี้

                มีการให้การช่วยเหลือหรือสนับสนุนอย่างจริงจัง (Material Contribution) หรือชักนำหรือจูงใจ (Inducement) เพื่อทำให้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์

                การพิสูจน์ว่าจำเลยทำการช่วยเหลือหรือสนับสนุนอย่างจริงจังให้มีการกระทำการละมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์นั้น โจทก์จะต้องพิสูจน์ว่าจำเลยเข้ากระทำการโดยตัวของจำเลยเอง (In Personal Conduct) เพื่อให้สนับสนุนหรือช่วยเหลือให้มีการกระทำละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ซึ่งในกรณีการจัดหาให้ซึ่ง “Site and Facilities” อันได้แก่ ให้บริการ Hardware IP Address Sever และเว็บไซต์สำหรับการกระทำละเมิดก็ถือว่าเป็นการให้การช่วยเหลือหรือสนับสนุนอย่างจริงจังแล้ว หรือในกรณีของการให้บริการในระบบคอมพิวเตอร์ หากว่าผู้ดำเนินการในระบบคอมพิวเตอร์ (A Computer System Operator) เห็นว่าสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์อยู่ในระบบ และไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพื่อเอาสิ่งที่ละเมิดนั้นออกจากระบบ ถือได้ว่าผู้ดำเนินการนั้นรู้และสนับสนุนให้มีการกระทำละเมิด

                ในกรณีของประเทศไทยก็ประสบเหตุการณ์เดียวกับต่างประเทศ ที่มีศูนย์การค้าและเว็บไซต์ต่างๆ เป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ในหลายปีที่ผ่านมาเจ้าของลิขสิทธิ์ก็ได้เพียงพยายามฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้จำหน่ายมากมาย แต่ร้านค้าและสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาก็มิได้ลดน้อยถอยลงในอัตราที่น่าพอใจ หากทุกสิ่งทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไปอย่างเช่นทุกวันนี้ สินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาก็คงยากที่จะหมดไปจากประเทศไทยได้ คดีนี้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นคดีที่เรียกว่าเป็นการกระทำละเมิดโดยตรง (Direct Infringement) ไม่มีปัญหาข้อกฎหมายให้ขบคิดวินิจฉัย แต่กระบวนการยุติธรรมของเราก็ยังไม่สามารถจัดการแก้ไขปัญหาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่วางจำหน่ายอย่างโจ่งแจ้งได้เราอาจจะต้องถึงเวลาแล้วที่จะต้องมองนอกกรอบหรือทำนอกแนวปฏิบัติแบบเดิมๆ

                เมื่อพิจารณาคดีของต่างประเทศที่เจ้าของลิขสิทธิ์เริ่มดำเนินคดีกับเจ้าของพื้นที่แทนที่จะดำเนินกับผู้จำหน่าย เราคงหันมามองว่ามีบทบัญญัติของกฎหมายไทยในเรื่องใดที่จะนำมาสนับสนุนแนวความคิดนี้กฎหมายที่นำมาบังคับใช้กรณีนี้คือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 ซึ่งบัญญัติความผิดของผู้ที่ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำความผิด ก็ต้องรับโทษสองในสามส่วนของการกระทำความผิดของผู้นั้น

                ในกรณีจะพิสูจน์ว่าเจ้าของพื้นที่กระทำการในฐานะผู้สนับสนุนหรือไม่นั้น โจทก์จะต้องพิสูจน์ว่าเจ้าของพื้นที่ได้มีการกระทำการโดยเจตนาเพื่อสนับสนุนให้ผู้จำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสามารถจำหน่ายเหล่านั้นได้ การพิสูจน์ดังกล่าว ตามหลักของกฎหมายอาญาแล้ว โจทก์ต้องกระทำการพิสูจน์จนสิ้นสงสัย เพื่อให้ศาลเชื่อว่าจำเลยเจตนาที่จะกระทำผิดจริง ซึ่งจะเห็นได้ว่าความพยายามอย่างสูง ดังนั้น การที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการยกร่างกฎหมายในส่วนของการกำหนดความผิดของเจ้าของพื้นที่ที่มีการจำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา หากเจ้าของพื้นที่ได้มีการกระทำอย่างผู้สนับสนุน รวมถึงการกำหนดในการพิสูจน์ความผิดในเรื่องนี้ขึ้นโดยเฉพาะ โดยไม่ต้องอาศัยหลักเรื่องผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา บทบัญญัติดังกล่าวก็จะช่วยกระตุ้นให้เจ้าของพื้นที่ทั้งในส่วนของศูนย์การค้าและเว็บไซต์ต้องตื่นตัวในการช่วยปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของเจ้าของลิขสิทธิ์บ้าง

แจ้งขอรับความคุ้มครองเครื่องหมายการค้า ณ จุดนำเข้า

วัตถุประสงค์ของการให้ความคุ้มครองเครื่องหมายการค้า ณ จุดส่งออกและนำเข้าเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ และเพื่อให้สินค้าที่ส่งออกไปนอกหรือเข้ามาในราชอาณาจักร มีเครื่องหมายการค้าที่ได้รับการจดทะเบียนโดยถูกต้องตามกฎหมายไม่ว่าจะได้จดทะเบียนไว้ในหรือนอกราชอาณาจักร  เครื่องหมายการค้าที่ขอรับความคุ้มครอง ได้ ต้องเป็นเครื่องหมายการค้าที่เจ้าของได้จดทะเบียนไว้แล้ว สำหรับสินค้าไม่ว่าชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือหลายชนิด โดยถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ว่าจะได้จดทะเบียนไว้ในหรือนอกราชอาณาจักร และมีอยู่ในบัญชีรายชื่อที่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้แจ้งไปยังกรมศุลกากร โดย เจ้าของเครื่องหมายการค้า หรือผู้รับมอบอำนาจ ที่ประสงค์จะขอรับความคุ้มครองเครื่องหมายการค้าของตน ให้แจ้งความจำนงต่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ พร้อมทั้งแสดงหลักฐานตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ และวิธีการ ตามที่กำหนดในประกาศกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยการส่งสินค้าออกไปนอกและการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.2530 ลงวันที่ 14 ตุลาคม 2530 และ ร้องขอต่อพนักงานศุลกากร เพื่อให้ตรวจสอบเครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าที่มีการส่งออกหรือนำเข้าในกรณีที่มีเหตุสงสัยว่าจะมีเครื่องหมายการค้าปลอมหรือเลียนเครื่องหมายการค้าของตน ก่อนที่พนักงานศุลกากรจะทำการตรวจปล่อยสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักรหรือส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้นำเข้าในแต่ละครั้ง

                 การดำเนินมาตรการทางศุลกากร เพื่อป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ณ จุดนำเข้า - ส่งออก นั้น เป็นไปตามข้อตกลงว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า (Agreement on Trade-Related Aspects of Intellectual Property Rights : TRIPs) ที่ต้องการให้ประเทศสมาชิกให้ความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามสินค้าที่ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น ซึ่งนำเข้ามาใน หรือส่งออกจาก หรือส่งผ่านประเทศสมาชิก      ข้อตกลง TRIPs ข้อ 51 ระบุ บรรดาสมาชิกอาจกำหนดให้มีกระบวนการอย่างเดียวกันเกี่ยวกับการระงับการปล่อยสินค้าที่ละเมิดที่มีจุดหมายเพื่อการส่งออกจากดินแดนของตน โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากร

www.ipthailand.co.th 

การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและชื่อทางการค้าที่ซ้ำซ้อนกัน

บทความโดย
www.tgcthailand.com
0-2549-8304 , 08-1344-2237


บริษัทที่มีชื่อเสียงมักจะประสบปัญหาเมื่อบุคคลที่สามพยายามที่จะแสวงหาประโยชน์จากเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียง โดยการนำชื่อเครื่องหมายการค้า หรือ ส่วนหนึ่งของชื่อเครื่องหมายการค้าของบริษัทเหล่านั้นไปจดทะเบียนเป็นชื่อทางการค้า

           การรับจดทะเบียนชื่อทางการค้าโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่กระทรวงพาณิชย์นั้นจะตรวจสอบตาม ระเบียบสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลางว่าด้วยการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัท พ.ศ. 2549  ซึ่งมีหลัก คือ จะต้องไม่พ้อง หรือมีชื่อเรียกขานตรงกันหรือคล้ายคลึงกับชื่อนิติบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว และ ต้องไม่มีคำหรือข้อความใดที่ต้องห้าม เช่น  พระนามของพระเจ้าแผ่นดิน  ชื่อกระทรวง ทบวง กรม  ชื่อที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นต้น โดยการพิจารณาจะไม่ตรวจสอบว่าชื่อทางการค้าดังกล่าวจะไปเหมือนหรือคล้ายกับชื่อเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้ยื่นจดทะเบียนไว้แล้วหรือไม่  

              ในกรณีดังกล่าวจะเกิดพบอยู่บ่อยครั้งซึ่งไม่มีกฎหมายใช้บังคับกับกรณีนี้ไว้โดยเฉพาะหากปรากฏว่ามีการกระทำจนถึงขนาดว่าเป็นการละเมิดจนถึงขั้นฟ้องร้องศาลจะใช้  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวกับชื่อทางการค้า มาตรา 18  มาใช้บังคับ มาตรา 18  มีสาระสำคัญว่า สิทธิของบุคคลในการที่จะใช้นามอันชอบที่จะใช้ได้นั้น ถ้ามีบุคคลอื่นโต้แย้งก็ดี หรือ บุคคลผู้เป็นเจ้าของนามนั้นต้องเสื่อมเสียประโยชน์เพราะการที่มีผู้อื่นมาใช้นามเดียวกันโดยมิได้รับอำนาจให้ใช้ก็ดี บุคคลผู้เป็นเจ้าของนามจะเรียกให้บุคคลนั้นระงับความเสียหายก็ได้ ถ้าและเป็นที่พึงวิตกว่าจะต้องเสียหายอยู่สืบไป จะร้องขอต่อศาลให้สั่งห้ามก็ได้

                มาตรา 18 นั้นกล่าวถึงนามโดยทั่ว ๆ ไปซึ่ง หมายความรวมถึง นามบุคคล นามนิติบุคคล ชื่อทางการค้า ชื่อเครื่องหมายการค้า ชื่อเครื่องหมายบริการ ชื่อเครื่องหมายรับรอง ชื่อเครื่องหมายร่วม เป็นต้น

                ดังปรากฏตัวอย่างในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9277/2547 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในขณะที่ พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 ใช้บังคับอยู่ ดังนี้ โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า "โต๊ะกัง" และ "ตั้งโต๊ะกัง" ที่เป็นภาษาไทย จีน และอังกฤษ ซึ่งเขียนว่า "TOH KANG" และ "TANG TOH KANG" มาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษของโจทก์ที่ 2 โดยใช้กับสินค้าจำพวกทองคำ คำดังกล่าวเป็นคำที่มีลักษณะบ่งเฉพาะ ไม่ได้มีความหมายว่าทองคำหรือเกี่ยวข้องกับทองคำแต่อย่างใด หากแต่เป็นชื่อสกุลของบรรพบุรุษของฝ่ายโจทก์ที่ประกอบกิจการค้าทองคำติดต่อกันมาตั้งแต่ก่อนปี 2464 เป็นเวลากว่า 80 ปีแล้ว และยังใช้คำว่า "ตั้งโต๊ะกัง" เป็นชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์ที่ 1 ตลอดมาด้วย

                ส่วนจำเลยที่ 1 เพิ่งมาประกอบกิจการร้านทองในลักษณะเดียวกับโจทก์ทั้งสองเมื่อปี 2515 และต่อมาในปี 2531 ถึงปี 2532 จำเลยทั้งสองนำชื่อเครื่องหมายการค้าของโจทก์ทั้งสองใช้เป็นชื่อห้างย่อมทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดว่าสถานประกอบการค้าทองของจำเลยทั้งสองเป็นสถานประกอบการค้าทองของโจทก์ทั้งสองหรือเป็นสถานประกอบการค้าทองที่โจทก์ทั้งสองมีส่วนรวมอยู่ด้วย เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายจากการสับสนหรือหลงผิดดังกล่าวได้เช่นกัน เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ทั้งสองให้ใช้ชื่อทางการค้าคำว่า "โต๊ะกัง" เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อสิทธิในชื่อทางการค้าของโจทก์ทั้งสอง แม้โจทก์จะไม่ได้ต่ออายุชื่อเครื่องหมายการค้าของตนจนแต่ก็ไม่ทำให้สิทธิในชื่อเครื่องหมายการค้าของโจทก์เสียไป โจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองเนื่องจากการใช้ชื่อทางการค้าของโจทก์ทั้งสองโดยไม่ชอบนั้นได้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 18  และ มาตรา 420

การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาภายใต้การเจรจาจัดทำความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (Agreement Establishing the ASEAN -Australia - New Zealand Free Trade Area: AANZFTA)

บทความโดย
www.tgcthailand.com
0-2549-8304 , 08-1344-2237
 
การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาภายใต้การเจรจาจัดทำความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (Agreement Establishing the ASEAN -Australia - New Zealand Free Trade Area: AANZFTA)

การเจรจาจัดทำความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (Agreement Establishing the ASEAN -Australia - New Zealand Free Trade Area: AANZFTA) เริ่มมีผลบังคับใช้สำหรับประเทศภาคีที่มีความพร้อมในการบังคับใช้ความตกลงแล้ว ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ บรูไน มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553    ไทยได้ทำการแจ้งถึงความพร้อมในการบังคับใช้ความตกลงต่อประเทศภาคีแล้ว เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2553 ซึ่งจะทำให้ความตกลง AANZFTA มีผลบังคับใช้สำหรับไทย 60 วันให้หลัง คือ ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553 เป็นต้นไป

                สาระสำคัญ ความตกลง AANZFTA เป็นความตกลงที่มีขอบเขตกว้าง โดยครอบคลุมเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการค้าเกือบทุกเรื่อง รวมทั้งการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจในแขนงต่างๆ  เช่น  เรื่องการลดภาษี การยกเลิกการอุดหนุนส่งออกสินค้าเกษตร การเปิดเสรีการลงทุน และการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน เป็นต้น
                ทรัพย์สินทางปัญญา โดยความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรี อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ได้กำหนดวัตถุประสงค์หลักเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาให้คำนึงถึงความแตกต่างของระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและศักยภาพ และความแตกต่างของระบบกฎหมายของแต่ละประเทศ และความจำเป็นที่จะคงไว้ซึ่งสมดุลที่เหมาะสมระหว่างสิทธิของเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาและผลประโยชน์อันชอบธรรมของผู้ใช้ในเนื้อหาสาระที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา และ ประเทศภาคีแต่ละฝ่ายยืนยันสิทธิและพันธกรณีของตนที่มีต่อประเทศภาคีอื่นแต่ละฝ่ายภายใต้ความตกลงทริปส์ ซึ่งหมายถึง ลิขสิทธิ์และสิทธิข้างเคียง

สิทธิในเครื่องหมายการค้า สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ การออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สิทธิบัตร และแบบผังภูมิ (ภาพผังภูมิ) ของวงจรรวม สิทธิในการคุ้มครองพันธุ์พืช และสิทธิในข้อมูลที่เป็นความลับ

             ลิขสิทธิ์ ให้ผู้สร้างสรรค์งาน มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะอนุญาตให้มีการเผยแพร่งานของตนสู่สาธารณะโดยวิธีผ่านสายหรือไร้สายและจัดให้มีกระบวนการทางอาญาและบทลงโทษ

                เครื่องหมายการค้าและสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ประเทศภาคีแต่ละฝ่ายจะต้องจัดให้มีการให้สิทธิในเครื่องหมายการค้าที่มีประสิทธิภาพสูงและคุ้มครองเครื่องหมายการค้า ในกรณีที่เครื่องหมายการค้านั้นมีอยู่ก่อนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ในเขตอาณาของตน

                ทรัพยากรทางพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรมพื้นบ้าน ประเทศภาคีแต่ละฝ่ายอาจกำหนดมาตรการที่เหมาะสม เพื่อคุ้มครองทรัพยากรทางพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรมพื้นบ้าน

                กลุ่มประเทศภาคีจะต้องพยายามร่วมมือกันเพื่อที่จะส่งเสริมความมีประสิทธิภาพและความโปร่งใสของการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและระบบจดทะเบียน รวมทั้งโดยการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการในระบบดังกล่าว และโดยการพัฒนาฐานข้อมูลสิทธิที่ได้รับการจดทะเบียนที่เข้าถึงได้เป็นการทั่วไป

การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารูปร่างรูปทรงของวัตถุสอง-มิติ (2-dimensions) และ สาม-มิติ (3-dimensions)

บทความโดย
www.tgcthailand.com
0-2549-8304 , 08-1344-2237

การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารูปร่างรูปทรงของวัตถุสอง-มิติ (2-dimensions) และ สาม-มิติ (3-dimensions)
: ศึกษากรณี รูปทรงขวดของ เดอะ โคคา โคล่า คัมปนี

การรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ามีหลักเกณฑ์ โดยสรุปคือต้องมีลักษณะบ่งเฉพาะ และไม่เป็นเครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่จดทะเบียนไว้แล้ว ในมาตรา 7 วรรคสอง มีหลักเกณฑ์ว่า (6) ภาพที่ประดิษฐ์ขึ้นให้ถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะ เมื่อพิเคราะห์เครื่องหมายการค้า รูปขวดของโจทก์ที่ขอจดทะเบียนที่มีลักษณะบ่งเฉพาะพิเศษโดยมีส่วนเว้า ส่วนนูน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีลวดลายเป็นจุดที่เว้าลึกรอบขวดในระยะที่ห่างเท่ากันแล้ว เห็นว่า รูปขวดของโจทก์มีลักษณะไม่เหมือนรูปขวดทั่วไป แต่เป็นภาพที่ประดิษฐ์ขึ้นตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าฯ มาตรา 7 วรรคสอง (6) ซึ่งถือได้ว่าเป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะในตัวเองที่ทำให้ประชาชนผู้ใช้สินค้าทราบและเข้าใจได้ว่า สินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์นั้นแตกต่างไปจากสินค้าอื่น เครื่องหมายการค้ารูปขวดของโจทก์จึงเป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะตามมาตรา 7 ตามคำนิยามใหม่ในบทบัญญัติมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2543 ซึ่งให้คำนิยามคำว่าเครื่องหมายหมายความรวมถึง “...รูปร่างหรือรูปทรงของวัตถุ...  ดังนั้นรูปร่างรูปทรงจึงมีความหมายรวมถึง  2-dimensions สอง-มิติ เกิดจากการเขียนภาพ บนกระดาษ ในแนวตั้ง และแนวนอน  โดยภาพจะเป็นแค่ด้านกว้างและยาว 3-dimensions สาม-มิติ   เกิดจากการเขียนภาพ ด้วยการใช้คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นมา และเพิ่มเติมมิติที่สามเข้ามา คือ "แนวลึก" รูปร่างรูปทรงของวัตถุจึงสามารถนำมาจดทะเบียนได้แต่ต้องแสดงให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะ ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์พื้นฐานเบื้องต้น (prima facie) ที่จะต้องมีจึงจะมีการรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้  ลักษณะบ่งเฉพาะ (distinctive character) อาจกล่าวได้ว่า หมายถึงความเด่นความมีลักษณะพิเศษ ลักษณะเฉพาะของเครื่องหมายการค้า ซึ่งย่อมแตกต่างหรือตรงกันข้ามกับลักษณะสามัญธรรมดา (generic) ตลอดจนไม่เป็นการพรรณนาหรือเล็งลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้า (descriptive or suggestive)

                คำพิพากษาของศาลไม่ได้วิเคราะห์ไปถึงเรื่องเครื่องหมายการค้า 3-dimensions สาม-มิติ  อย่างชัดเจน ซึ่งไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์ใด การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า 3-dimensions สาม-มิติ  ก็ยังเป็นอุปสรรคสำหรับกรมทรัพย์สินทางปัญญาในการจัดการกับประเภทของโปรแกรมนี้  รวมถึงรูปแบบของใบคำขอจดทะเบียนที่ต้องมีความแตกต่างจากเดิม และ ครอบคลุมถึงความต้องการที่จะจดทะเบียนแบบ3-dimensions สาม-มิติ  ด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้นกรมทรัพย์สินทางปัญญาจำเป็นต้องใช้เครื่องหมายที่จะแสดงในหลายมุมมอง หลายปัญหาที่มีอยู่ในกระบวนการในการลงทะเบียนเครื่องหมาย3-dimensions สาม-มิติ  จะต้องได้รับการแก้ไข