วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2557

การจดแจ้งลิขสิทธิ์ก่อนการสร้างสรรค์งานลิขสิทธิ์ซึ่งขณะนั้นไม่มีงานลิขสิทธิ์การจดแจ้งดังกล่าวไม่ทำให้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์

                   "ผู้สร้างสรรค์" หมายความว่า ผู้ทำหรือผู้ก่อให้เกิดงานสร้างสรรค์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และ ผู้สร้างสรรค์เป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานที่ตนได้สร้างสรรค์ขึ้น
                    ดังนั้นการที่ผู้สร้างสรรค์จะเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานที่ตนได้สร้างสรรค์ขึ้นจะต้องก่อให้เกิดงานสร้างสรรค์ขึ้นแล้วไม่ใช่เพียงแต่เป็นแนวคิดหรือไอเดีย 
                     น. เป็นผู้คิดค้นรูปแบบรายการโทรทัศน์ประเภทสปอร์ตเรียลลิตี้ “THE WINNER” ซึ่งเป็นรายการโทรทัศน์จัดประกวดและคัดเลือกนักฟุตบอลให้เป็นตัวแทนประเทศไทยเพื่อทำการเผยแพร่ออกอากาศทางโทรทัศน์ แม้รูปแบบรายการโทรทัศน์ดังกล่าวที่ น. คิดขึ้นในขณะนำมาเสนอกับจำเลยจะยังไม่มีการแสดงออกทางความคิดจนเกิดเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ที่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 
                    แต่ต่อมาได้มีการจดทะเบียนตั้งบริษัทโจทก์โดยมี น. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจโจทก์ โจทก์และจำเลยตกลงร่วมกันผลิตรายการโทรทัศน์ดังกล่าวและได้ทำบันทึกข้อตกลงระหว่างกัน โดยจำเลยตกลงที่จะชำระค่าตอบแทนให้แก่โจทก์ในการได้สิทธิผลิตและออกอากาศชุดรายการโทรทัศน์ดังกล่าว ข้อตกลงเกี่ยวกับการที่โจทก์อนุญาตให้สิทธิจำเลยผลิตรายการตามรูปแบบรายการดังกล่าวและนำไปออกอากาศจึงมีผลผูกพันและสามารถบังคับได้ตามกฎหมายระหว่างโจทก์และจำเลย
                  โจทก์แจ้งต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาว่าโจทก์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานโสตทัศนวัสดุ ชื่อ “THE WINNER” ก่อนที่โจทก์จะได้สร้างสรรค์งานดังกล่าวซึ่งขณะนั้นไม่มีงานลิขสิทธิ์เกิดขึ้น การแจ้งดังกล่าวจึงไม่ทำให้โจทก์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานดังกล่าว เพราะการได้มาซึ่งลิขสิทธิ์นั้นจะต้องมีการสร้างสรรค์งานและเข้าเงื่อนไขตามที่บัญญัติไว้ตามกฎหมาย
                    โจทก์เป็นนิติบุคคลสัญชาติไทยเป็นผู้สร้างสรรค์งานโสตทัศนวัสดุเทปต้นฉบับรายการโทรทัศน์ “THE WINNER” ตอนที่ 1 ถึง 3 ก่อนที่จำเลยจะนำมาตัดต่อเพื่อออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ เป็นตอนที่ 1 ถึง 3 โจทก์จึงเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานโสตทัศนวัสดุเทปต้นฉบับรายการโทรทัศน์ตอนที่ 1 ถึงที่ 3 ดังกล่าวตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 8 (2)
                    จำเลยได้มีการประชุมร่วมกับโจทก์และตกลงให้จำเลยตัดต่อเทปต้นฉบับเพื่อออกอากาศใหม่ ถือว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยทำการตัดต่อเทปตอนที่ 1 ถึง 3 ใหม่ตามการแสดงออกทางความคิดของจำเลยเพื่อออกอากาศ เป็นการที่โจทก์ยินยอมอนุญาตให้จำเลยดัดแปลงงานโสตทัศน์วัสดุเทปต้นฉบับรายการโทรทัศน์อันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยจึงมีลิขสิทธิ์ในงานโสตทัศนวัสดุเทปโทรทัศน์รายการโทรทัศน์ที่ดัดแปลงแล้วนำออกอากาศในตอนที่ 1 ถึง 3 ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 11 จำเลยนำเทปรายการโทรทัศน์ตอนที่ 1 ถึง 3 ที่จำเลยได้ออกอากาศมาตัดต่อใหม่เป็นเทปรายการโทรทัศน์ดังกล่าวตอนที่ 4 ถึง 6 เป็นการที่จำเลยดัดแปลงงานอันมีลิขสิทธิ์ของตนเอง จำเลยจึงเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานโสตทัศนวัสดุเทปรายการโทรทัศน์ ตอนที่ 4 ถึงที่ 6 ดังกล่าว
          เทปรายการโทรทัศน์ตอนที่ 7 ถึง 27 เป็นเทปรายการโทรทัศน์ที่จำเลยสร้างสรรค์ขึ้นภายหลังที่โจทก์อนุญาตให้จำเลยผลิตรายการโทรทัศน์ดังกล่าวตามบันทึกข้อตกลง โดยโจทก์ให้สิทธิจำเลยในการผลิตและออกอากาศชุดรายการโทรทัศน์ “THE WINNER” ที่โจทก์เป็นเจ้าของสิทธิในรูปแบบรายการดังกล่าว โดยไม่ปรากฎข้อตกลงอื่นเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานโสตทัศนวัสดุเทปรายการโทรทัศน์ ที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ผลิต จำเลยซึ่งเป็นผู้สร้างสรรค์งานโสตทัศนวัสดุเทปรายการโทรทัศน์ตอนที่ 7 ถึง 27 ดังกล่าวจึงเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานดังกล่าวตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 8 (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่  9801/2555
 

ผู้สร้างสรรค์งานอันมีลิขสิทธิ์และความหมายของงานสร้างสรรค์ที่เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์

                 การจะเป็นผู้สร้างสรรค์งานอันมีลิขสิทธิ์นั้นความสำคัญมิได้อยู่ที่ว่างานที่อ้างว่าได้สร้างสรรค์นั้นเป็นงานใหม่หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าบุคคลนั้นได้ทำหรือก่อให้เกิดงานโดยได้ใช้ความวิริยะอุตสาหะในการสร้างสรรค์ และงานดังกล่าวมีที่มาหรือต้นกำเนิดจากบุคคลผู้นั้น มิได้คัดลอกหรือทำซ้ำหรือดัดแปลงมาจากงานอันมีลิขสิทธิ์อื่น การปรับปรุงเล็กน้อยโดยลอกเลียนแบบมา จึงถือไม่ได้ว่าเป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยใช้ความวิริยะอุตสาหะในการสร้างสรรค์งานจึงมิใช่ผู้สร้างสรรค์ตามความหมายแห่งมาตรา 4 ของ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ซึ่งการการปรับปรุงเล็กน้อยโดยลอกเลียนแบบมาต้องพิจารณาจากสามัญสำนึกของบุคคลทั่วไปและข้อเท็จจริงอื่นที่เกี่ยวข้องตามกรณี 
                    ผู้สร้างสรรค์เป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานที่ตนได้สร้างสรรค์ขึ้นทันทีโดยไม่ต้องดำเนินการจดแจ้งต่อ กรมทรัพย์สินทางปัญญาแต่อย่างใดการรับแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ของกรมทรัพย์สินทางปัญญามิใช่เป็นการจดทะเบียนรับรองสิทธิหรือยืนยันลิขสิทธิ์ของผู้แจ้ง แต่เป็นเพียงหลักฐานเบื้องต้นของผู้แจ้งว่าเป็นเจ้าของของลิขสิทธิ์เท่านั้น หากมีการโต้แย้งว่าผู้ใดเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หรือไม่ต้องมีการพิสูจน์
                    ดังนั้นผู้สร้างสรรค์ควรจะเก็บผลงานของตนที่ได้สร้างสรรค์ไว้เป็นหลักฐานตั้งแต่ต้น เช่น ร่างเนื้อหา หรือ เอกสารการขีดเขียนที่แม้จะดูไม่เรียบร้อยก็สามารถใช้เป็นหลักฐานได้ หรือ หลักฐานทางอีเมลแสดงการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานที่สร้างสรรค์ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบัน หลักฐานทางอีเมลสามารถใช้อ้างอิงในศาลได้ 

งานอันมีลิขสิทธิ์ประเภทงานศิลปประยุกต์และระยะเวลาการคุ้มครองงานศิลปประยุกต์

                     การจดแจ้งงานอันมีลิขสิทธิ์ส่วนใหญ่จะเป็นงานประเภทงานศิลปประยุกต์ ที่มีการนำงาน "ศิลปกรรม" ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น นอกเหนือจากการชื่นชมในคุณค่าของตัวงาน เช่น นำไปใช้สอย นำไปตกแต่งวัสดุหรือสิ่งของอันเป็นเครื่องใช้ หรือนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการค้า  เช่น สินค้าประเภท ร่ม  เคสโทรศัพท์มือถือ กระเป๋า เป็นต้น จะนำงาน "ศิลปกรรม" ไปตกแต่งวัสดุหรือสิ่งของอันเป็นเครื่องใช้ หรือ นำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการค้า ซึ่งระยะเวลาการคุ้มครองจะมีความแตกต่างกัน ดังนี้
                    งานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้ให้มีอยู่ตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ และมีอยู่ต่อไปอีกเป็นเวลา ห้าสิบปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตายในกรณีที่มีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์ในงานดังกล่าวให้มีอยู่ตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ร่วม   และมีอยู่ ต่อไปอีกเป็นเวลาห้าสิบปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย
                    ข้อยกเว้น 
1.             ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล ให้ลิขสิทธิ์มีอายุห้าสิบปี (50ปี) นับแต่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้น แต่ถ้าได้มีการโฆษณางานนั้น ในระหว่างระยะเวลาดังกล่าว ให้ลิขสิทธิ์มีอายุห้าสิบปีนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก
2.             ลิขสิทธิ์ในงานภาพถ่าย โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียงหรืองาน แพร่เสียงแพร่ภาพให้มีอายุห้าสิบปี(50ปี) นับแต่ได้ สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น แต่ถ้าได้มีการโฆษณางานนั้นในระหว่างระยะเวลาดังกล่าวให้ลิขสิทธิ์มีอายุห้าสิบปีนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็น ครั้งแรก
3.             ลิขสิทธิ์ในงานศิลปประยุกต์ให้มี อายุยี่สิบห้าปี (25 ปี) นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้นแต่ถ้าได้มีการโฆษณางานนั้นในระหว่าง ระยะเวลาดังกล่าวให้ลิขสิทธิ์มีอายุยี่สิบ ห้าปีนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก

วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2557

การจดเครื่องหมายการค้า การจดสิทธิบัตร กับ การแปลงทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทุน

การแปลงทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทุน เกิดจากการที่รัฐบาลได้กำหนดให้มี นโยบายการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนขึ้น   เพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะคนยากจนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ โดยการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีอยู่มาแปลงเป็นทุน เพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และกระตุ้นให้มีผู้ประกอบการรายใหม่ ส่งผลให้มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน โดยสินทรัพย์ที่ถูกกำหนดให้สามารถนำมาแปลงเป็นทุนได้นั้น ปัจจุบันมีทั้งหมด 7 ประเภท ได้แก่ ที่ดินและทรัพย์สินติดกับที่ดิน, หนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินสาธารณะและหนังสือรับรองอื่นๆสัญญาเช่าและเช่าซื้อเครื่องจักรทรัพย์สินทางปัญญา, หนังสืออนุญาตให้นำพื้นที่ทางทะเลที่ได้รับอนุญาตเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ  และสวนยางพารา

     ในส่วนของสินทรัพย์ประเภททรัพย์สินทางปัญญา รัฐบาลได้มอบหมายให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาในฐานะเป็นหน่วยงานที่ดูแลรับผิด ชอบงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศเป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลักในการดำเนิน การตาม นโยบายการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนและเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพบรรลุเป้าหมายตามวัตถุ ประสงค์ของนโยบายรัฐบาล กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้จัดทำ โครงการแปลงทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทุน”  เพื่อรองรับการดำเนินงานภายใต้นโยบายของรัฐบาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสให้กับเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้จด ทะเบียน หรือแจ้งข้อมูลไว้กับกรมทรัพย์สินทางปัญญา สามารถใช้เอกสารแสดงสิทธิเหล่านั้นเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และนำทรัพย์สินทางปัญญาที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และเกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างสูงสุด  อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้มีการคิดค้นสร้างสรรค์และใช้ประโยชน์จาก ทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่มมากขึ้น




การจดลิขสิทธิ์ตามสัญญาจ้างแรงงานกับสัญญาจ้างทำของ

งานอันมีลิขสิทธิ์  ได้แก่ งานสร้างสรรค์ประเภทวรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง งานแพร่เสียงแพร่ภาพ หรือ งานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะของผู้สร้างสรรค์ ไม่ว่างานดังกล่าวจะแสดงออกโดยวิธีหรือรูปแบบอย่างใดการคุ้มครองลิขสิทธิ์ไม่คลุมถึงความคิด หรือขั้นตอน กรรมวิธี หรือระบบ หรือวิธีใช้หรือ ทำงาน หรือแนวความคิด หลักการ การค้นพบ หรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์
ตามหลักการพื้นฐาน ผู้สร้างสรรค์เป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานที่ตนได้สร้างสรรค์ขึ้น ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์ย่อมมีสิทธิ แต่ผู้เดียวที่จะ ทำซ้ำหรือดัดแปลง เผยแพร่ต่อสาธารณชน ให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ และสิ่งบันทึกเสียง ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น อนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิ
อย่างไรก็ตามการสร้างสรรค์จะเข้าไปมีจุดเกาะเกี่ยวตามสัญญาจ้างแรงงานกับสัญญาจ้างทำของตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ คือ
-สัญญาจ้างแรงงาน
งานที่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้นในฐานะพนักงานหรือลูกจ้าง ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ให้ลิขสิทธิ์ใน งานนั้นเป็นของผู้สร้างสรรค์ แต่นายจ้างมีสิทธินำงานนั้นออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนได้ตามที่เป็นวัตถุประสงค์ แห่งการจ้างแรงงานนั้น
-สัญญาจ้างทำของ
งานที่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้นโดยการรับจ้างบุคคลอื่น ให้ผู้ว่าจ้างเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานนั้น เว้นแต่ผู้สร้างสรรค์และ ผู้ว่าจ้างจะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น
แม้สัญญาจ้างแรงงานกับสัญญาจ้างทำของจะมีลักษณะที่คล้ายกันคือ ลูกจ้างหรือผู้รับจ้างต่างก็ต้องทำงานให้แก่นายจ้างหรือผู้ว่าจ้าง และนายจ้างหรือผู้ว่าจ้างตกลงจ่ายสินจ้างแก่ลูกจ้างหรือผู้รับจ้างเป็นการตอบแทนเช่นกัน แต่ก็มีลักษณะที่แตกต่างกันที่สำคัญคือ ตามสัญญาจ้างแรงงานนั้นลูกจ้างต้องทำงานให้นายจ้างตามวัตถุประสงค์แห่งสัญญาจ้างแรงงานที่ตกลงกันโดยไม่จำเป็นต้องมีการตกลงกันโดยมุ่งประสงค์ต่อผลสำเร็จของการงานอันใดอันหนึ่งโดยเฉพาะ หรือคิดค่าตอบแทนจากผลสำเร็จของการงานที่ตกลงกันแต่อย่างใด นายจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานมีสิทธิบังคับบัญชามอบหมายและควบคุมกำกับการทำงานของลูกจ้างให้ทำงานใด ๆ ภายใต้ข้อตกลงเกี่ยวกับหน้าที่และสภาพการจ้างงานนั้นได้
ส่วนสัญญาจ้างทำของนั้น ผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างจะมีเจตนามุ่งประสงค์ต่อความสำเร็จของงานอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างตามข้อตกลงที่ว่าจ้างให้ทำกัน โดยถือเอาผลสำเร็จของการงานที่ตกลงให้ทำกันนั้นเป็นสาระสำคัญ โดยผู้ว่าจ้างมิได้มีสิทธิบังคับบัญชาสั่งการผู้รับจ้างแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2189 - 2190/2548

การที่โจทก์ทั้งสองทำงานวาดภาพนกให้แก่ บ. นั้นก็เพื่อใช้ประกอบหนังสือ "A Guide to the Birds of Thailand" ที่ บ. จะจัดทำขึ้น โดยในการวาดภาพต้องทำให้สอดคล้องกับข้อมูลทางวิชาการที่เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับนกแต่ละวงศ์แต่ละชนิด ต้องใช้ซากนกที่ บ. เก็บรวบรวมไว้จำนวนมาก และต้องเดินทางไปดูนกในสภาพธรรมชาติ กับยังต้องค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม ทำให้การวาดภาพนกนี้ต้องใช้เวลานานหลายปี และเป็นกรณีจำเป็นที่จะต้องให้โจทก์แต่ละคนทำงานที่สถานที่ทำงานของ บ. เพื่อความสะดวกในการเทียบเคียงข้อมูลและประสานข้อมูลการบรรยายด้วยข้อความกับภาพวาดให้สอดคล้องต้องกัน ทั้งยังได้ความว่าในการทำงานวาดภาพนก บ. ไม่ได้กำหนดให้โจทก์ที่ 1 วาดภาพนกเป็นตัว ๆ แต่จะกำหนดเป็นวงศ์ แล้วโจทก์ที่ 1 จะวาดภาพนกในวงศ์นั้นทั้งหมด การกำกับดูแลของ บ. เป็นเพียงการเร่งรัดงานเท่านั้น สำหรับโจทก์ที่ 2 ก็วาดภาพโดยได้รับคำแนะนำให้ข้อมูลจาก ฟ. และดูตัวอย่างจากซากนก กับข้อมูลจากหนังสือต่าง ๆ หาก ฟ. หรือ บ. เห็นว่าไม่ถูกต้อง และแจ้งให้โจทก์ที่ 2 ทราบ ถ้าโจทก์ที่ 2 เห็นด้วยก็จะแก้ไข แต่ถ้าไม่เห็นด้วยก็จะไม่แก้ไข อันเป็นการแสดงว่าโจทก์ทั้งสองทำงานวาดภาพโดยมีอิสระในการทำงานมาก มิใช่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาเยี่ยงที่นายจ้างมีต่อลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานแต่อย่างใด และในการเดินทางไปดูนกในสภาพตามธรรมชาติก็ยังปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งผิดปกติวิสัยของผู้เป็นลูกจ้าง ทั้งเมื่อโจทก์ทั้งสองวาดภาพเพื่อประกอบการทำหนังสือดังกล่าวแล้วเสร็จ โจทก์ทั้งสองก็ไม่ได้ทำการวาดภาพหรือทำงานกับ บ. หรือจำเลยที่ 1 อีกแต่อย่างใด เห็นได้ว่าสภาพการทำงานให้แก่ บ. ของโจทก์ทั้งสองดังกล่าว บ. จะมุ่งประสงค์ถึงความสำเร็จในการจัดทำหนังสือเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากที่จะกำหนดจำนวนงานได้แต่แรก เพราะต้องศึกษาค้นคว้าข้อมูลและศึกษาดูนกกับวาดภาพนกเพิ่มเติมจนกว่าจะเห็นว่ามีข้อมูลและภาพวาดที่สมบูรณ์เป็นที่พอใจที่จะรวมจัดพิมพ์เป็นหนังสือได้ การที่จ่ายค่าตอบแทนให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นรายเดือนในพฤติการณ์การทำงานในระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้จึงอาจเป็นการแบ่งจ่ายค่าจ้างทำของให้เหมาะสมแก่สภาพงานในลักษณะดังกล่าว เพื่อมิให้เป็นการเอาเปรียบโจทก์แต่ละคนและเป็นประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสองที่ไม่ต้องรอรับค่าตอบแทนเมื่องานเสร็จสิ้นในภายหลังที่เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากเช่นนั้น ตามพฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่า การวาดภาพนกของโจทก์ทั้งสองเป็นไปตามสัญญาจ้างทำของ และเมื่อไม่ปรากฏว่ามีข้อสัญญาเป็นอย่างอื่น ลิขสิทธิ์จึงตกเป็นของผู้ว่าจ้าง มิใช่ตกเป็นของโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ผู้รับจ้าง 

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

การตรวจสอบการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า

 1.  ในขั้นแรกเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเบื้องต้น (Preliminary check)  คือตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารเท่านั้น (Documentary check)
          2.  ต่อมาเจ้าหน้าที่ตรวจสอบและนายทะเบียนจะตรวจสอบว่าเครื่องหมายการค้าที่ขอจดทะเบียน  มีลักษณะตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่  กล่าวคือ
                    - ต้องมีลักษณะบ่งเฉพาะ
                    - ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายและ
                    - ไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายของผู้อื่น
          ในขั้นตอนนี้จะใช้เวลาในการตรวจสอบและพิจารณาประมาณ 3 เดือน
          3.  ภายหลังตรวจสอบแล้ว  เจ้าหน้าที่จะแจ้งผู้ยื่นคำขอทราบผลการตรวจสอบดังต่อไปนี้ ตามแต่กรณี
                    - การรับจดทะเบียน นายทะเบียนจะสั่งประกาศโฆษณาเป็นเวลา 90 วัน หากไม่มีผู้ใดคัดค้านจะรับจดทะเบียน
                    - ปฏิเสธไม่รับจดทะเบียน  หากนายทะเบียนเห็นว่าเครื่องหมายที่ยื่นขอจดทะเบียนไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะ  เป็นเครื่องหมายต้องห้ามตามพระราชบัญญัตินี้  หรือเหมือนคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้รับจดทะเบียนไว้แล้ว  ซึ่งผู้ขอจดทะเบียนสามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าภายในเวลาที่กำหนด
                    - ให้แก้ไขเปลี่ยนแปลง
                    - แจ้งผู้ยื่นคำขอว่า เครื่องหมายที่ขอจดทะเบียน มีผู้อื่นยื่นขอจดทะเบียนไว้เช่นกัน ขอให้ผู้ยื่นไปตกลงกันเองก่อน
การแจ้งให้แก้ไขคำขอ
          ผู้ขอจดทะเบียนต้องดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์ผิด  ระบุข้อความไม่ครบถ้วน  ไม่ได้ลงลายมือชื่อ ฯลฯ  โดยคิดค่าธรรมเนียมคำขอละ 100 บาท (ก่อนจดทะเบียน) และ 200 บาท (หลังการจดทะเบียน)  โดยใช้แบบ ก.06 หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะทำการประกาศโฆษณาต่อไป

www.ipthailand.co.th        
     

ขั้นตอนการจดเครื่องหมายการค้าของประเทศไทย

ขั้นตอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของประเทศไทย
การตรวจค้น
1.แนะนำให้ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนดำเนินการตรวจค้นเครื่องหมายที่จะขอจดทะเบียนว่าเหมือนหรือคล้ายเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นหรือไม่
2.  ผู้ค้นต้องเสียค่าธรรมเนียมในการตรวจค้น 100 บาท/ชั่วโมง  โดยตรวจค้นด้วยตนเองที่กลุ่มบริการและตรวจรับคำขอ (ชั้น 3)  สำนักเครื่องหมายการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา หรือทาง www.ipthailand.go.th  ในส่วนบริการออนไลน์เครื่องหมายการค้า 

การยื่นคำขอจดทะเบียน
1.  การบริการทั่วไป
           1.  ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนต้องเตรียมเอกสารตามที่กฎหมายกำหนดและกรอกข้อความโดยการพิมพ์ให้สมบูรณ์  ดังนี้
                    1.1  คำขอจดทะเบียน (ก.01)  ต้นฉบับ 1 ชุด  ลงลายมือชื่อผู้มีอำนาจและติดรูปเครื่องหมายการค้า ขนาดกว้าง x ยาว ไม่เกิน 5 เซนติเมตร (หากเกินต้องชำระค่าธรรมเนียมเพิ่มเซนติเมตรละ 100 บาท)  แล้วถ่ายสำเนา ก.01 ดังกล่าว อีกจำนวน 5 ชุด
                    1.2  รูปเครื่องหมายอีก จำนวน 5 รูป ขนาดเดียวกับที่ติดในแบบฟอร์ม ก.01
                 1.3  กรณียื่นในนามนิติบุคคล    ใช้หลักฐานต้นฉบับหนังสือรับรองนิติบุคคลที่ขอคัดไม่เกิน 6 เดือน 1 ฉบับ กรณียื่นในนามบุคคลธรรมดา  ใช้หลักฐานสำเนาบัตรประจำตัว 1 ฉบับ พร้อมลงลายมือชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง
                    กรณีผู้ขอจดทะเบียนอยู่ต่างประเทศ ให้โนตารีพับลิครับรองเอกสารด้วย
                    1.4  หากมีการมอบอำนาจให้บุคคลอื่นยื่นแทน  ใช้สำเนาหนังสือมอบอำนาจ (ก.18) พร้อมติดอากรแสตมป์ 30 บาท ต่อผู้รับมอบอำนาจ 1 คน (พร้อมขีดฆ่าอากร)  และสำเนาบัตรประจำตัวของผู้รับมอบอำนาจ 1 ฉบับ พร้อมลงลายมือชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง
          2.   ยื่นเอกสารต่อเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งชำระค่าธรรมเนียม 500 บาท ต่อสินค้า/บริการ 1 อย่าง
          3.   ยื่นขอรับบริการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า  ได้ดังนี้
                    3.1 กลุ่มบริการและตรวจรับคำขอ ส่วนบริหารงานจดทะเบียน (ชั้น 3) สำนักเครื่องหมายการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา
                    3.2 สำนักงานพาณิชย์จังหวัด
                    3.3 ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับถึงนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมชำระค่าธรรมเนียมโดยทางธนาณัติสั่งจ่ายนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า
                    3.4  ทางอินเตอร์เน็ต  จากเว็บไซต์ www.ipthailand.go.th ในส่วนบริการออนไลน์ระบบเครื่องหมายการค้า



http://www.ipthailand.go.th/

การเตรียมการยื่นคำขอจดเครื่องหมายการค้า


(1) ท่านต้องตรวจค้นว่าเครื่องหมายการค้าของท่านที่จะขอจดทะเบียนเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นหรือไม่ 

(2) จัดทำคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า โดยท่านจะต้องจัดพิมพ์รูปเครื่องหมายการค้า มาอย่างน้อยทั้งหมด 6 รูปต่อหนึ่งคำขอ โดยท่านจะใช้รูปเครื่องหมายปิดผนึกไว้ในคำขอจดทะเบียนด้วย  1 รูป จากนั้นนำคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นไปถ่ายสำเนาอีก 5 ชุด  

(3) ส่วนหลักฐานอื่น ๆ ก็คือ สำเนาบัตรประจำตัวของผู้ขอจดทะเบียนและตัวแทน (ถ้ามี) และสำเนาหนังสือมอบอำนาจ ในกรณีที่มีการตั้งตัวแทนด้วย ในกรณีที่ผู้ขอจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลต้องแนบต้นฉบับหนังสือรับรองนิติบุคคลที่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทออกให้ไม่เกินหกเดือน

(4) ค่าธรรมเนียมรายการสินค้าละ 500 บาท และ หากรับจดทะเบียนจะมีค่าธรรมเนียมรายการสินค้าละ 300 บาท 

www.tgcthailand.com

วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

ผู้ขอจดทะเบียนสามารถที่จะคุ้มครองเครื่องหมายการค้าในหลาย ๆ ประเทศได้อย่างไร

                การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศหนึ่งจะไม่มีผลคุ้มครองไปถึงประเทศอื่นที่ไม่ได้ยื่นจดทะเบียนด้วยเนื่องจาก การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศใดก็จะอยู่ภายใต้กฎหมายเครื่องหมายการค้าของประเทศนั้น ซึ่งกฎหมายในประเทศหนึ่งจะไม่สามารถบังคับใช้ไปถึงประเทศอื่นด้วยตามหลักดินแดน ดังนั้นจะเป็นที่พบเห็นอยู่เสมอว่าเครื่องหมายการค้าที่เหมือนกันนั้นจะได้รับการจดทะเบียนไว้ต่างเจ้าของกันในประเทศที่แตกต่างกัน
                ดังนั้นเราสามารถที่จะคุ้มครองเครื่องหมายการค้าในหลาย ๆ ประเทศได้อย่างไร
                ผู้ขอจดทะเบียนมีทางเลือก ดังนี้
(1)  สามารถยื่นคำจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในทุกประเทศที่ต้องการให้เครื่องหมายการค้าของตนได้รับความคุ้มครอง ซึ่งจะต้องเตรียมคำขอประเทศละ 1 ชุด
(2)  สามารถยื่นคำจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในกลุ่มประเทศ
                การทำธุรกิจในปัจจุบันเป็นเรื่องปกติที่เจ้าของเครื่องหมายการค้า จะทำการตลาดและจำหน่ายสินค้าไปยังทุกประเทศทั่วโลก ดังนั้นการคุ้มครองเครื่องหมายการค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องการให้คุ้มครองไปยังทุกประเทศที่เข้าไปทำการตลาดและจำหน่ายสินค้าด้วย การยื่นจดทะเบียนในลักษณะกลุ่มประเทศนี้จึงเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาเรื่องหลักกฎหมายตามหลักดินแดน โดยมีกลุ่มประเทศ ดังนี้
                - กลุ่มสหภาพยุโรป ( Community Trademark ) หรือ CTM  คุ้มครอง 27 ประเทศ
                - กลุ่มประเทศสมาชิกองค์การทรัพย์สินทางปัญญาอาฟริกา ( The African Intellectual Property Organization ) หรือ OAPI  คุ้มครอง 16 ประเทศ
                - กลุ่มประเทศสมาชิกองค์การทรัพย์สินทางปัญญาภูมิภาคอาฟริกา (African Regional Intellectual Property Organization ) หรือ ARIPO  คุ้มครอง 16 ประเทศ
                - การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามระบบมาดริด (Madrid System) มีประเทศสมาชิกตามความตกลงมาดริด และพิธีสารมาดริด ซึ่งประกอบกันเป็นสหภาพมาดริด รวมทั้งสิ้น 84 ประเทศ (ปี 2552) โดยมีหลักการ คือยื่นคำขอจดทะเบียนในประเทศเดียวแต่สามารถระบุประเทศที่ต้องการได้รับความคุ้มครองได้หลายประเทศในประเทศที่เป็นสมาชิกของระบบมาดริด (Madrid System)
                 โดยปัจจุบันประเทศไทยอยู่ระหว่างเตรียมการออกกฎหมายภายในเพื่อรองรับระบบมาดริด (Madrid System)  และ มีกำหนดการเข้าเป็นสมาชิกภาคีพิธีสารมาดริดภายในปี  2558