วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2557

การจดเครื่องหมายการค้า การจดสิทธิบัตร กับ การแปลงทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทุน

การแปลงทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทุน เกิดจากการที่รัฐบาลได้กำหนดให้มี นโยบายการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนขึ้น   เพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะคนยากจนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ โดยการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีอยู่มาแปลงเป็นทุน เพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และกระตุ้นให้มีผู้ประกอบการรายใหม่ ส่งผลให้มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน โดยสินทรัพย์ที่ถูกกำหนดให้สามารถนำมาแปลงเป็นทุนได้นั้น ปัจจุบันมีทั้งหมด 7 ประเภท ได้แก่ ที่ดินและทรัพย์สินติดกับที่ดิน, หนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินสาธารณะและหนังสือรับรองอื่นๆสัญญาเช่าและเช่าซื้อเครื่องจักรทรัพย์สินทางปัญญา, หนังสืออนุญาตให้นำพื้นที่ทางทะเลที่ได้รับอนุญาตเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ  และสวนยางพารา

     ในส่วนของสินทรัพย์ประเภททรัพย์สินทางปัญญา รัฐบาลได้มอบหมายให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาในฐานะเป็นหน่วยงานที่ดูแลรับผิด ชอบงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศเป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลักในการดำเนิน การตาม นโยบายการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนและเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพบรรลุเป้าหมายตามวัตถุ ประสงค์ของนโยบายรัฐบาล กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้จัดทำ โครงการแปลงทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทุน”  เพื่อรองรับการดำเนินงานภายใต้นโยบายของรัฐบาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสให้กับเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้จด ทะเบียน หรือแจ้งข้อมูลไว้กับกรมทรัพย์สินทางปัญญา สามารถใช้เอกสารแสดงสิทธิเหล่านั้นเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และนำทรัพย์สินทางปัญญาที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และเกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างสูงสุด  อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้มีการคิดค้นสร้างสรรค์และใช้ประโยชน์จาก ทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่มมากขึ้น




การจดลิขสิทธิ์ตามสัญญาจ้างแรงงานกับสัญญาจ้างทำของ

งานอันมีลิขสิทธิ์  ได้แก่ งานสร้างสรรค์ประเภทวรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง งานแพร่เสียงแพร่ภาพ หรือ งานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะของผู้สร้างสรรค์ ไม่ว่างานดังกล่าวจะแสดงออกโดยวิธีหรือรูปแบบอย่างใดการคุ้มครองลิขสิทธิ์ไม่คลุมถึงความคิด หรือขั้นตอน กรรมวิธี หรือระบบ หรือวิธีใช้หรือ ทำงาน หรือแนวความคิด หลักการ การค้นพบ หรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์
ตามหลักการพื้นฐาน ผู้สร้างสรรค์เป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานที่ตนได้สร้างสรรค์ขึ้น ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์ย่อมมีสิทธิ แต่ผู้เดียวที่จะ ทำซ้ำหรือดัดแปลง เผยแพร่ต่อสาธารณชน ให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ และสิ่งบันทึกเสียง ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น อนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิ
อย่างไรก็ตามการสร้างสรรค์จะเข้าไปมีจุดเกาะเกี่ยวตามสัญญาจ้างแรงงานกับสัญญาจ้างทำของตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ คือ
-สัญญาจ้างแรงงาน
งานที่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้นในฐานะพนักงานหรือลูกจ้าง ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ให้ลิขสิทธิ์ใน งานนั้นเป็นของผู้สร้างสรรค์ แต่นายจ้างมีสิทธินำงานนั้นออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนได้ตามที่เป็นวัตถุประสงค์ แห่งการจ้างแรงงานนั้น
-สัญญาจ้างทำของ
งานที่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้นโดยการรับจ้างบุคคลอื่น ให้ผู้ว่าจ้างเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานนั้น เว้นแต่ผู้สร้างสรรค์และ ผู้ว่าจ้างจะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น
แม้สัญญาจ้างแรงงานกับสัญญาจ้างทำของจะมีลักษณะที่คล้ายกันคือ ลูกจ้างหรือผู้รับจ้างต่างก็ต้องทำงานให้แก่นายจ้างหรือผู้ว่าจ้าง และนายจ้างหรือผู้ว่าจ้างตกลงจ่ายสินจ้างแก่ลูกจ้างหรือผู้รับจ้างเป็นการตอบแทนเช่นกัน แต่ก็มีลักษณะที่แตกต่างกันที่สำคัญคือ ตามสัญญาจ้างแรงงานนั้นลูกจ้างต้องทำงานให้นายจ้างตามวัตถุประสงค์แห่งสัญญาจ้างแรงงานที่ตกลงกันโดยไม่จำเป็นต้องมีการตกลงกันโดยมุ่งประสงค์ต่อผลสำเร็จของการงานอันใดอันหนึ่งโดยเฉพาะ หรือคิดค่าตอบแทนจากผลสำเร็จของการงานที่ตกลงกันแต่อย่างใด นายจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานมีสิทธิบังคับบัญชามอบหมายและควบคุมกำกับการทำงานของลูกจ้างให้ทำงานใด ๆ ภายใต้ข้อตกลงเกี่ยวกับหน้าที่และสภาพการจ้างงานนั้นได้
ส่วนสัญญาจ้างทำของนั้น ผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างจะมีเจตนามุ่งประสงค์ต่อความสำเร็จของงานอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างตามข้อตกลงที่ว่าจ้างให้ทำกัน โดยถือเอาผลสำเร็จของการงานที่ตกลงให้ทำกันนั้นเป็นสาระสำคัญ โดยผู้ว่าจ้างมิได้มีสิทธิบังคับบัญชาสั่งการผู้รับจ้างแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2189 - 2190/2548

การที่โจทก์ทั้งสองทำงานวาดภาพนกให้แก่ บ. นั้นก็เพื่อใช้ประกอบหนังสือ "A Guide to the Birds of Thailand" ที่ บ. จะจัดทำขึ้น โดยในการวาดภาพต้องทำให้สอดคล้องกับข้อมูลทางวิชาการที่เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับนกแต่ละวงศ์แต่ละชนิด ต้องใช้ซากนกที่ บ. เก็บรวบรวมไว้จำนวนมาก และต้องเดินทางไปดูนกในสภาพธรรมชาติ กับยังต้องค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม ทำให้การวาดภาพนกนี้ต้องใช้เวลานานหลายปี และเป็นกรณีจำเป็นที่จะต้องให้โจทก์แต่ละคนทำงานที่สถานที่ทำงานของ บ. เพื่อความสะดวกในการเทียบเคียงข้อมูลและประสานข้อมูลการบรรยายด้วยข้อความกับภาพวาดให้สอดคล้องต้องกัน ทั้งยังได้ความว่าในการทำงานวาดภาพนก บ. ไม่ได้กำหนดให้โจทก์ที่ 1 วาดภาพนกเป็นตัว ๆ แต่จะกำหนดเป็นวงศ์ แล้วโจทก์ที่ 1 จะวาดภาพนกในวงศ์นั้นทั้งหมด การกำกับดูแลของ บ. เป็นเพียงการเร่งรัดงานเท่านั้น สำหรับโจทก์ที่ 2 ก็วาดภาพโดยได้รับคำแนะนำให้ข้อมูลจาก ฟ. และดูตัวอย่างจากซากนก กับข้อมูลจากหนังสือต่าง ๆ หาก ฟ. หรือ บ. เห็นว่าไม่ถูกต้อง และแจ้งให้โจทก์ที่ 2 ทราบ ถ้าโจทก์ที่ 2 เห็นด้วยก็จะแก้ไข แต่ถ้าไม่เห็นด้วยก็จะไม่แก้ไข อันเป็นการแสดงว่าโจทก์ทั้งสองทำงานวาดภาพโดยมีอิสระในการทำงานมาก มิใช่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาเยี่ยงที่นายจ้างมีต่อลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานแต่อย่างใด และในการเดินทางไปดูนกในสภาพตามธรรมชาติก็ยังปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งผิดปกติวิสัยของผู้เป็นลูกจ้าง ทั้งเมื่อโจทก์ทั้งสองวาดภาพเพื่อประกอบการทำหนังสือดังกล่าวแล้วเสร็จ โจทก์ทั้งสองก็ไม่ได้ทำการวาดภาพหรือทำงานกับ บ. หรือจำเลยที่ 1 อีกแต่อย่างใด เห็นได้ว่าสภาพการทำงานให้แก่ บ. ของโจทก์ทั้งสองดังกล่าว บ. จะมุ่งประสงค์ถึงความสำเร็จในการจัดทำหนังสือเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากที่จะกำหนดจำนวนงานได้แต่แรก เพราะต้องศึกษาค้นคว้าข้อมูลและศึกษาดูนกกับวาดภาพนกเพิ่มเติมจนกว่าจะเห็นว่ามีข้อมูลและภาพวาดที่สมบูรณ์เป็นที่พอใจที่จะรวมจัดพิมพ์เป็นหนังสือได้ การที่จ่ายค่าตอบแทนให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นรายเดือนในพฤติการณ์การทำงานในระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้จึงอาจเป็นการแบ่งจ่ายค่าจ้างทำของให้เหมาะสมแก่สภาพงานในลักษณะดังกล่าว เพื่อมิให้เป็นการเอาเปรียบโจทก์แต่ละคนและเป็นประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสองที่ไม่ต้องรอรับค่าตอบแทนเมื่องานเสร็จสิ้นในภายหลังที่เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากเช่นนั้น ตามพฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่า การวาดภาพนกของโจทก์ทั้งสองเป็นไปตามสัญญาจ้างทำของ และเมื่อไม่ปรากฏว่ามีข้อสัญญาเป็นอย่างอื่น ลิขสิทธิ์จึงตกเป็นของผู้ว่าจ้าง มิใช่ตกเป็นของโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ผู้รับจ้าง 

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

การตรวจสอบการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า

 1.  ในขั้นแรกเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเบื้องต้น (Preliminary check)  คือตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารเท่านั้น (Documentary check)
          2.  ต่อมาเจ้าหน้าที่ตรวจสอบและนายทะเบียนจะตรวจสอบว่าเครื่องหมายการค้าที่ขอจดทะเบียน  มีลักษณะตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่  กล่าวคือ
                    - ต้องมีลักษณะบ่งเฉพาะ
                    - ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายและ
                    - ไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายของผู้อื่น
          ในขั้นตอนนี้จะใช้เวลาในการตรวจสอบและพิจารณาประมาณ 3 เดือน
          3.  ภายหลังตรวจสอบแล้ว  เจ้าหน้าที่จะแจ้งผู้ยื่นคำขอทราบผลการตรวจสอบดังต่อไปนี้ ตามแต่กรณี
                    - การรับจดทะเบียน นายทะเบียนจะสั่งประกาศโฆษณาเป็นเวลา 90 วัน หากไม่มีผู้ใดคัดค้านจะรับจดทะเบียน
                    - ปฏิเสธไม่รับจดทะเบียน  หากนายทะเบียนเห็นว่าเครื่องหมายที่ยื่นขอจดทะเบียนไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะ  เป็นเครื่องหมายต้องห้ามตามพระราชบัญญัตินี้  หรือเหมือนคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้รับจดทะเบียนไว้แล้ว  ซึ่งผู้ขอจดทะเบียนสามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าภายในเวลาที่กำหนด
                    - ให้แก้ไขเปลี่ยนแปลง
                    - แจ้งผู้ยื่นคำขอว่า เครื่องหมายที่ขอจดทะเบียน มีผู้อื่นยื่นขอจดทะเบียนไว้เช่นกัน ขอให้ผู้ยื่นไปตกลงกันเองก่อน
การแจ้งให้แก้ไขคำขอ
          ผู้ขอจดทะเบียนต้องดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์ผิด  ระบุข้อความไม่ครบถ้วน  ไม่ได้ลงลายมือชื่อ ฯลฯ  โดยคิดค่าธรรมเนียมคำขอละ 100 บาท (ก่อนจดทะเบียน) และ 200 บาท (หลังการจดทะเบียน)  โดยใช้แบบ ก.06 หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะทำการประกาศโฆษณาต่อไป

www.ipthailand.co.th        
     

ขั้นตอนการจดเครื่องหมายการค้าของประเทศไทย

ขั้นตอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของประเทศไทย
การตรวจค้น
1.แนะนำให้ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนดำเนินการตรวจค้นเครื่องหมายที่จะขอจดทะเบียนว่าเหมือนหรือคล้ายเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นหรือไม่
2.  ผู้ค้นต้องเสียค่าธรรมเนียมในการตรวจค้น 100 บาท/ชั่วโมง  โดยตรวจค้นด้วยตนเองที่กลุ่มบริการและตรวจรับคำขอ (ชั้น 3)  สำนักเครื่องหมายการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา หรือทาง www.ipthailand.go.th  ในส่วนบริการออนไลน์เครื่องหมายการค้า 

การยื่นคำขอจดทะเบียน
1.  การบริการทั่วไป
           1.  ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนต้องเตรียมเอกสารตามที่กฎหมายกำหนดและกรอกข้อความโดยการพิมพ์ให้สมบูรณ์  ดังนี้
                    1.1  คำขอจดทะเบียน (ก.01)  ต้นฉบับ 1 ชุด  ลงลายมือชื่อผู้มีอำนาจและติดรูปเครื่องหมายการค้า ขนาดกว้าง x ยาว ไม่เกิน 5 เซนติเมตร (หากเกินต้องชำระค่าธรรมเนียมเพิ่มเซนติเมตรละ 100 บาท)  แล้วถ่ายสำเนา ก.01 ดังกล่าว อีกจำนวน 5 ชุด
                    1.2  รูปเครื่องหมายอีก จำนวน 5 รูป ขนาดเดียวกับที่ติดในแบบฟอร์ม ก.01
                 1.3  กรณียื่นในนามนิติบุคคล    ใช้หลักฐานต้นฉบับหนังสือรับรองนิติบุคคลที่ขอคัดไม่เกิน 6 เดือน 1 ฉบับ กรณียื่นในนามบุคคลธรรมดา  ใช้หลักฐานสำเนาบัตรประจำตัว 1 ฉบับ พร้อมลงลายมือชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง
                    กรณีผู้ขอจดทะเบียนอยู่ต่างประเทศ ให้โนตารีพับลิครับรองเอกสารด้วย
                    1.4  หากมีการมอบอำนาจให้บุคคลอื่นยื่นแทน  ใช้สำเนาหนังสือมอบอำนาจ (ก.18) พร้อมติดอากรแสตมป์ 30 บาท ต่อผู้รับมอบอำนาจ 1 คน (พร้อมขีดฆ่าอากร)  และสำเนาบัตรประจำตัวของผู้รับมอบอำนาจ 1 ฉบับ พร้อมลงลายมือชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง
          2.   ยื่นเอกสารต่อเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งชำระค่าธรรมเนียม 500 บาท ต่อสินค้า/บริการ 1 อย่าง
          3.   ยื่นขอรับบริการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า  ได้ดังนี้
                    3.1 กลุ่มบริการและตรวจรับคำขอ ส่วนบริหารงานจดทะเบียน (ชั้น 3) สำนักเครื่องหมายการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา
                    3.2 สำนักงานพาณิชย์จังหวัด
                    3.3 ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับถึงนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมชำระค่าธรรมเนียมโดยทางธนาณัติสั่งจ่ายนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า
                    3.4  ทางอินเตอร์เน็ต  จากเว็บไซต์ www.ipthailand.go.th ในส่วนบริการออนไลน์ระบบเครื่องหมายการค้า



http://www.ipthailand.go.th/

การเตรียมการยื่นคำขอจดเครื่องหมายการค้า


(1) ท่านต้องตรวจค้นว่าเครื่องหมายการค้าของท่านที่จะขอจดทะเบียนเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นหรือไม่ 

(2) จัดทำคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า โดยท่านจะต้องจัดพิมพ์รูปเครื่องหมายการค้า มาอย่างน้อยทั้งหมด 6 รูปต่อหนึ่งคำขอ โดยท่านจะใช้รูปเครื่องหมายปิดผนึกไว้ในคำขอจดทะเบียนด้วย  1 รูป จากนั้นนำคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นไปถ่ายสำเนาอีก 5 ชุด  

(3) ส่วนหลักฐานอื่น ๆ ก็คือ สำเนาบัตรประจำตัวของผู้ขอจดทะเบียนและตัวแทน (ถ้ามี) และสำเนาหนังสือมอบอำนาจ ในกรณีที่มีการตั้งตัวแทนด้วย ในกรณีที่ผู้ขอจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลต้องแนบต้นฉบับหนังสือรับรองนิติบุคคลที่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทออกให้ไม่เกินหกเดือน

(4) ค่าธรรมเนียมรายการสินค้าละ 500 บาท และ หากรับจดทะเบียนจะมีค่าธรรมเนียมรายการสินค้าละ 300 บาท 

www.tgcthailand.com

วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

ผู้ขอจดทะเบียนสามารถที่จะคุ้มครองเครื่องหมายการค้าในหลาย ๆ ประเทศได้อย่างไร

                การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศหนึ่งจะไม่มีผลคุ้มครองไปถึงประเทศอื่นที่ไม่ได้ยื่นจดทะเบียนด้วยเนื่องจาก การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศใดก็จะอยู่ภายใต้กฎหมายเครื่องหมายการค้าของประเทศนั้น ซึ่งกฎหมายในประเทศหนึ่งจะไม่สามารถบังคับใช้ไปถึงประเทศอื่นด้วยตามหลักดินแดน ดังนั้นจะเป็นที่พบเห็นอยู่เสมอว่าเครื่องหมายการค้าที่เหมือนกันนั้นจะได้รับการจดทะเบียนไว้ต่างเจ้าของกันในประเทศที่แตกต่างกัน
                ดังนั้นเราสามารถที่จะคุ้มครองเครื่องหมายการค้าในหลาย ๆ ประเทศได้อย่างไร
                ผู้ขอจดทะเบียนมีทางเลือก ดังนี้
(1)  สามารถยื่นคำจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในทุกประเทศที่ต้องการให้เครื่องหมายการค้าของตนได้รับความคุ้มครอง ซึ่งจะต้องเตรียมคำขอประเทศละ 1 ชุด
(2)  สามารถยื่นคำจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในกลุ่มประเทศ
                การทำธุรกิจในปัจจุบันเป็นเรื่องปกติที่เจ้าของเครื่องหมายการค้า จะทำการตลาดและจำหน่ายสินค้าไปยังทุกประเทศทั่วโลก ดังนั้นการคุ้มครองเครื่องหมายการค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องการให้คุ้มครองไปยังทุกประเทศที่เข้าไปทำการตลาดและจำหน่ายสินค้าด้วย การยื่นจดทะเบียนในลักษณะกลุ่มประเทศนี้จึงเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาเรื่องหลักกฎหมายตามหลักดินแดน โดยมีกลุ่มประเทศ ดังนี้
                - กลุ่มสหภาพยุโรป ( Community Trademark ) หรือ CTM  คุ้มครอง 27 ประเทศ
                - กลุ่มประเทศสมาชิกองค์การทรัพย์สินทางปัญญาอาฟริกา ( The African Intellectual Property Organization ) หรือ OAPI  คุ้มครอง 16 ประเทศ
                - กลุ่มประเทศสมาชิกองค์การทรัพย์สินทางปัญญาภูมิภาคอาฟริกา (African Regional Intellectual Property Organization ) หรือ ARIPO  คุ้มครอง 16 ประเทศ
                - การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามระบบมาดริด (Madrid System) มีประเทศสมาชิกตามความตกลงมาดริด และพิธีสารมาดริด ซึ่งประกอบกันเป็นสหภาพมาดริด รวมทั้งสิ้น 84 ประเทศ (ปี 2552) โดยมีหลักการ คือยื่นคำขอจดทะเบียนในประเทศเดียวแต่สามารถระบุประเทศที่ต้องการได้รับความคุ้มครองได้หลายประเทศในประเทศที่เป็นสมาชิกของระบบมาดริด (Madrid System)
                 โดยปัจจุบันประเทศไทยอยู่ระหว่างเตรียมการออกกฎหมายภายในเพื่อรองรับระบบมาดริด (Madrid System)  และ มีกำหนดการเข้าเป็นสมาชิกภาคีพิธีสารมาดริดภายในปี  2558